กำเนิด "นางแบบ"


กำเนิด "นางแบบ"คนที่ให้กำเนิดการเดินแบบในเมืองไทยจริง ๆ นั้นน่าจะเป็นหม่อมเจ้าไกรสิงห์ วุฒิไกร เจ้าของห้องเสื้อ "ไกรสิงห์" ที่ได้รับการยกย่องสมัยเมื่อ 40 กว่าปีก่อนว่าเป็นดีไซเนอร์ไทยที่ทำเสื้อชั้นสูงแบบโอร์ตกูตู เพราะตัดชุดวิวาห์ได้งดงามเริดหรูมาก หม่อมเจ้าไกรสิงห์มาโด่งดังระเบิดจริง ๆเพราะเป็นผู้ที่ตัดชุดให้อภัสรา หงสกุลแต่งไปประกวดนางงามจักระวางจนได้ครองตำแหน่งสาวงามที่สวยที่สุดในจักรวาลมาครอบครอง และทุกครั้งที่หม่อมเจ้าไกรสิงห์ทำเสื้อผ้าขึ้นมานั้นจะมีการชักชวนบรรดาสาว ๆ ที่มีดีกรีเป็นถึงนักเรียนนอกมาเดินแบบให้ ซึ่งสเปกของเจ้าของห้องเสื้อผู้นี้คือต้องเป็นสาวแต่งตัวเปรี้ยวจี๊ดจ๊าดและมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง และอีกเหตุผลที่สำคัญนอกเหนือจากบุคลิกภาพแล้ว ผู้ที่คลุกคลีอยู่กับวงการแฟชั่นคนหนึ่งบอกเล่าเหตุผลให้ฟังว่า "เมื่อก่อนนั้นเวลาเชิญนางแบบพวกนี้ไปเดินแบบ ท่านไกรสิงห์จะเตรียมเฉพาะเสื้อผ้าที่จะต้องสวมใส่ตอนเดินแบบให้เท่านั้น แอสเซสซารี่อื่น ๆ นางแบบจะต้องเป็นคนหามาเอง ไม่ว่าจะเป็นเครื่องประดับพวกเครื่องเพชร รองเท้า กระเป๋า ถุงน่อง หรือแม้แต่เสื้อชั้นในที่สาวนักเรียนนอกจะเลือกสวมใส่ซึ่งเป็นชุดชั้นในยี่ห้อนอกอย่าง ฮอลลีวู้ด วาซาเลท เป็นต้น ซึ่งชุดชั้นในพวกนี้ใส่แล้วจะช่วยให้เสื้อผ้าที่สวมใส่ดูดีขึ้น" แม้จะเริ่มปรากฏการณ์การนำสาว ๆ มาเดินแบบเสื้อผ้าบนแคทวอล์ก แต่ในยุคนั้นยังไม่ถือว่ายกระดับขึ้นเป็นอาชีพนางแบบ เพราะนางแบบเหล่านั้นจะไม่ได้ "ค่าตัว"เป็นเรื่องเป็นราว อย่างมากจะได้เป็นเสื้อผ้าที่ตัวเองสวมใส่ขณะเดินแบบ ดังนั้นใครที่จะมาเดินแบบจะต้องได้รับเชิญจากเจ้าของห้องเสื้อเท่านั้น ซึ่งโดยมากจะเรียกว่า "นางแบบกิตติมศักดิ์" เพราะส่วนมากจะเป็นลูกหลานของบรรดาผู้ดีมีสกุล ในยุคนั้นบรรดาสาว ๆ ที่จะมีโอกาสได้สวมใส่ชุดของหม่อมเจ้าไกรสิงห์ขึ้นแคทวอล์ก อาทิ พัฒนศรี บุนนาค, ม.ล.เทพินธุ์ เทวกุล, บุษบา โภคินวงศ์ เป็นต้น ซึ่งหลายครั้งที่หม่อมเจ้าไกรสิงห์ลงทุนพาบรรดาสาวนางแบบกิตติมศักดิ์เหล่านี้ไปเดินแบบโชว์เสื้อผ้ากันถึงเมืองนอกทีเดียว จึงทำให้กลายเป็นกระแสที่บรรดาสาว ๆ ในยุคนั้นใฝ่ฝันอยากจะได้สวมชุดของหม่อมเจ้าไกรสิงห์บนแคทวอล์กบ้าง แต่ใช่ว่าจะมีเพียงสาวนักเรียนนอกเท่านั้นที่มีสิทธิ์เป็นนางแบบกิตติมศักดิ์ของหม่อมเจ้าไกรสิงห์ ในยุคหลัง ๆ ถ้าเจ้าของห้องเสื้อผู้นี้ถูกใจสาวไหนก็จะเอ่ยปากชักชวน ไม่ว่าจะเป็นโฉมฉาย ฉัตรวิไล นางเอกสาวหน้าตาลูกครึ่งในยุคนั้นก็มีโอกาสเดินบทแคทวอล์กเช่นกัน


ส่วนนางแบบรุ่นสุดท้ายที่หม่อมเจ้าไกรสิงห์ชักนำมาสัมผัสชีวิตบนแคทวอล์กคือ เจี๊ยบ-พิจิตรา บุณยรัตพันธ์ ดีไซเนอร์ชื่อดัง ซึ่งตอนนั้นยังเป็นนักเรียนนอกที่ปารีสอยู่ หลังจากที่หม่อมเจ้าไกรสิงห์จึงจุดอิ่มตัวแล้วก็เลิกทำเสื้อผ้า บรรดาห้องเสื้ออย่าง พรศรี ก็เริ่มมีการใช้นางแบบมาเดินโชว์เพื่อแสดงชุดของนักเรียน แต่นางแบบที่ใช้ก็เปลี่ยนไปโดยส่วนมากจะใช้นักเรียนที่เรียนอยู่ในสถาบันพรศรีมาช่วยเดิน หรือบางครั้งก็อาจจะมองหาสาวทำงานที่รูปร่างหน้าดีมาช่วยเดินให้บ้าง ถือได้ว่าเป็นยุคแรกของ "แมวมอง" ที่หานางแบบก่อนจะก้าวมาเป็นอาชีพแมวมองในปัจจุบันนี้ แต่อย่างไรก็ตามการเดินแบบในยุคเมื่อ 30 -40 ปีก่อนนั้นไม่ได้เดินกันบ่อยเหมือนในปัจจุบัน จะเดินเฉพาะงานประจำปีหรือเดินการกุศลเท่านั้น *นางแบบอาชีพ มีอยู่ยุคหนึ่งที่บรรดาแบรนด์เนมจากเมืองนอกเริ่มหาทางเข้ามาเจาะกระเป๋าเงินของบรรดาไฮโซเมืองไทย เนื่องจากมีคนไทยอยู่กลุ่มหนึ่งที่นิยมเดินทางไปซื้อเสื้อผ้าแบรนด์เนมจากเมืองนอก ดังนั้นบรรดาแบรนด์เนมชื่อดังจากเมืองนอกจึงสนใจที่จะเข้ามาทำตลาดเมืองไทยบ้างจึงมีการนำแฟชั่นโชว์คอลเลคชั่นใหม่ ๆ มาเดินแบบให้คนไทยดู แบรนด์เนมแรกที่เข้ามาเมืองไทยอย่างเป็นทางการคือ นีน่า ริชชี่ ซึ่งเปิดโรงแรมโอเรียนเต็ลเพื่อนำนางแบบฝรั่งมาเดินโชว์เสื้อผ้าของนีน่า ริชชี่ให้สาวไทยได้ชม และก็ไม่ผิดหวังเพราะได้รับการต้อนรับอย่างเนืองแน่นจากบรรดาสาวไฮโซเมืองไทย จนทำให้แบรนด์เนมรายอื่น ๆ ดาหน้าเข้ามาบ้าง ด้วยเหตุผลนี้เองจึงจุดประกายให้ไข่ - สมชาย แก้วทอง เจ้าของห้องเสื้อ Kai ย่านสยามเซ็นเตอร์ลุกขึ้นมาทำเสื้อผ้าในเชิงธุรกิจโดยใช้นางแบบคนไทยเดินบนแคทวอล์กอย่างฝรั่งบ้าง แฟชั่นโชว์ชุดแรกนั้นได้แรงบันดาลใจมาจากภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดเรื่อง The Great Gatsby กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในเมืองไทย เสื้อผ้าที่โชว์ขายหมดเกลี้ยงในเวลาอันรวดเร็ว ส่งให้ชื่อเสียงของไข่-สมชาย โด่งดังเป็นพลุ จนต้องจัดงานแฟชั่นโชว์ตามมาอีกหลายงาน และถือว่าเป็นยุคเริ่มต้นของการจัดแฟชั่นโชว์แบบมีธีมของงานเนื่องจากเริ่มมีสปอนเซอร์มาเข้าร่วม อาทิ การบินไทย เครื่องสำอางลังโคม เป็นต้น ไข่-สมชาย ถือเป็นคนแรกที่เปิดเส้นทางให้เกิดอาชีพนางแบบขึ้นมาอย่างเป็นทางการ เพราะไข่-สมชายจะจ่ายค่าตัวให้นางแบบทุกคนที่มาเดินแบบเสื้อให้ รวมถึงเริ่มมีการสาว ๆ จากหลากหลายอาชีพมาฝึกเดินแบบอย่างจริงจัง โดยมอบหมายให้วรชาติ ชาตะโสภณ มาช่วยฝึกนางแบบให้รู้จักวิธีการเดินบนแคทวอล์ก รวมถึงการโพสต์ท่าทางต่าง ๆ อย่างนางแบบอาชีพฝรั่ง เรียกได้ว่าไข่-สมชายได้ปั้นนางแบบมืออาชีพเข้าสู่วงการแฟชั่นเป็นจำนวนมาก อาทิ เพ็ญพร ไพฑูรย์ , ศิริเอม อุณหธูป , อาภาพรรณ ฮันเตอร์ , ภาวิดา สุริยะสัตย์ เป็นต้น การจ่ายค่าตัวในยุคนั้นก็ให้กันง่าย ๆ ไม่เรื่องมาก เพราะหลังจากเดินแบบจบเจ้าของห้องเสื้อก็ควักเงินสดจ่ายค่าตัวกันไปเลย ทำให้เกิดความพอใจทั้งห้องเสื้อและนางแบบ แต้ม - รุ่งนภา กิตติวัฒน์ อดีตนางแบบชื่อดังบอกเล่าถึงชีวิตนางแบบในยุคของเธอเมื่อ 20 กว่าปีก่อนว่า


เธอแจ้งเกิดจากการเป็นนางแบบปกให้กับนิตยสารลลนา จากนั้นจึงได้วนเวียนอยู่กับแคทวอล์กมาตลอด ซี่งแต้มกล่าวว่า ในยุคนั้นแม้จะมีคำว่านางแบบอาชีพแล้วก็ตาม แต่วงการก็มีนางแบบจำนวนไม่มากนักแทบจะนับคนได้ อย่างปราณี ชัยโรจน์ , อาภาสิริ นิติพน , กุสุมา ปีเตอร์ เป็นต้น การจัดเดินแบบแฟชั่นในยุคนั้นแม้จะไม่บ่อยเหมือนยุคนี้แต่ก็เรียกได้ว่าสัปดาห์หนึ่งมีงานให้เดินถึง 2 – 3 งาน " การจัดงานเดินแฟชั่นในยุคก่อนจะไม่บ่อย ส่วนมากเป็นงานเก็บเงินอย่างงานการกุศล ที่เป็นซิทดาวน์ ดินเนอร์ หรืองานที่ดีไซเนอร์จัดขึ้นเอง " *เส้นทางสู่...แคทวอล์ก การเข้ามาสู่เส้นทางนางแบบนั้นไม่มีกฎตายตัวแน่นอน บางคนบอกว่าขึ้นอยู่กับดวงด้วยบางคนเดิน ๆ อยู่ก็อาจจะมีแมวมองมาชักชวนให้ไปเดินแบบแล้วก็โด่งดังเป็นพลุแตก นางแบบในยุคก่อนจะสงวนสิทธิ์สำหรับลูกหลานคนมีเงินเท่านั้นจึงเรียกว่า "นางแบบกิตติมศักดิ์ " แต่พอสาว ๆ ทั้งหลายใฝ่ฝันอยากจะเป็นนางแบบบ้านก็เริ่มมีการมองหาเส้นทางลัดเพื่อเข้าสู่วงการนี้ ซึ่งถนนสู่นางแบบมิใช่มีเพียงสายหลักแค่สายเดียว นิตยสารผู้หญิงถือเป็นเส้นทางหลักในการแจ้งเกิดนางแบบบนแคทวอล์กมาไม่น้อย ยิ่งในยุคก่อนที่มีนิตยสารผู้หญิงเพียงไม่กี่ฉบับนั้นถือเป็นสื่อที่ใครต่อใครก็จับตามองสาวที่มาขึ้นปก อย่างนิตยสารสกุลไทยที่มักจะนำสาวสวยลูกผู้ดีมีสกุลมาขึ้นปก แต่คนที่ทำให้พื้นที่หน้าปกของนิตยสารกลายมาเป็นยอดฮิตคือ บุรินทร์ วงศ์สงวน ซึ่งตอนนั้นเป็นบรรณาธิการนิตยสารบีอาร์ บุรินทร์มักมองหาสาวนักเรียนนอกที่โก้ ๆ มาขึ้นปกและเมื่อไปต้องตาดีไซเนอร์ห้องเสื้อ เธอเหล่านั้นก็จะถูกดึงตัวไปเดินแบบต่อจากนั้น นางแบบและนายแบบที่ได้เกิดจากปกของนิตยสารบีอาร์คือ พิสมัย จันทรุเบกษา และโยธิน ณ นคร เป็นต้น ต่อจากนั้นก็เป็นยุคของนิตยสารลลนาและดิฉัน ซึ่งขับเคี่ยวกันแข่งขันหานางแบบมาขึ้นปกอย่างไม่มีใครยอมกัน ลลนาในยุคของสุวรรณี สุคนธาเป็นบรรณาธิการจะให้ความสำคัญกับเรื่องแฟชั่นมากและกล้าที่จะฉีกแนววงการแฟชั่น ดังนั้นลลนาจึงสร้างนางแบบที่มีความแปลกใหม่อยู่เสมอ นางแบบที่แจ้งเกิดบนปกนิตยสารลลนา อาทิ เพ็ญพักต์ ศิริกุล ซึ่งตอนนั้นยังเป็นดาราเล็ก ๆ อยู่ รุ่งนภา กิตติวัฒน์ , อรนภา ควรตระกูล , เปรมิกา สุจริตกุล เป็นต้น สำหรับดีไซเนอร์หลายคนที่มองว่าการใช้นางแบบที่แจ้งเกิดจากปกนิตยสารนั้นจะมีส่วนช่วยคัดเลือกความสามรถในระดับหนึ่งแล้ว แต่อย่างไรก็ตามก็ยังไม่สามารถสร้างกระแสความแรงให้กับเสื้อผ้าได้มากเท่ากับการให้นางแบบคนนั้นไปเดินบนแคทวอล์ก เพราะวิธีการเช่นนั้นจะทำให้บรรดาลูกค้าไฮโซแห่ไปดูและรุมกันซื้อเสื้อผ้ากันจนหมดเกลี้ยง อย่างไรก็ตามในยุคก่อนก็มีคนหัวใสเริ่มจัดการประกวดนางแบบขึ้นเป็นครั้งแรกของเมืองไทยในชื่อการประกวด 10 ยอดนางแบบ เวทีนี้ก็ได้สร้างนางแบบอาชีพมาประดับวงการในยุคแรกไม่น้อย อาทิ อนุรี เจริญวงศ์ , มลนิกา สงวนแก้ว ซึ่งถือเป็นนางแบบยุคแรกของสาวธรรมดาที่ไม่ใช่พวกนามสกุลดัง แถมพวกนี้จะพยายามฝึกฝนตัวเองทั้งวิธีการเดิน ฟิตรูปร่างเพื่อจะเข้ามาสู่อาชีพนางแบบ จนมาถึงยุคปัจจุบันนี้การหานางแบบจึงมีความหลากหลายขึ้น ทั้งเอเจนซี่ โมเดลลิ่ง แมวมอง ออกาไนเซอร์ นิตยสาร รวมถึงการจัดประกวดหลากหลายเวที เรียกได้ว่าความใฝ่ฝันที่จะเข้ามาเดินบนแคทวอล์กของคนยุคนี้ไม่อยากเกินเอื้อมอีกแล้ว *สเปกนางแบบกับยุคสมัย หลายคนอาจจะคิดว่าคนที่เกิดมาเพื่อเป็นนางแบบนั้นจะต้องสูงยาวเพรียวและสวย แต่สำหรับวงการนางแบบเมืองไทยแล้วรสนิยมในการเลือกนางแบบมีการปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัยหลายรอบด้วยกัน ในยุคแรกดีไซเนอร์จะมองเพียงแค่สาวเปรี้ยวแต่งตัวโก้และมีความมั่นใจในตัวเองสูง โดยเธอคนนั้นอาจจะมีรูปร่างไม่สูงมากนักก็ไม่เป็นไร เพราะเสื้อผ้าที่สวมใส่ตัดขายเฉพาะสาวไทยไม่ใช่ไซส์ฝรั่ง พอมายุคเสื้อผ้าแบรนด์เนมบุกเมืองไทย บรรดานางแบบที่จะสวมใส่เสื้อผ้าไซส์ฝรั่งได้จะต้องเป็นสาวหุ่นสูงเพรียว แขนขายาว ตอนนี้ก็ถึงเวลาของผู้หญิงไทยหุ่นสูงเพรียวแขนขายาวได้เกิดบ้าง


อย่างไปรยา ลุลิตานนท์ , ปราณี ชัยไรจน์ เป็นต้น ต่อมาวงการนางแบบเริ่มเปิดกว้างขึ้นโดยไข่-สมชาย แก้วทอง ที่สร้างอาชีพนางแบบขึ้นมาคู่กับวงการแฟชั่น ในยุคนั้นถือเป็นยุคทองของดีไซเนอร์เมืองไทย มีห้องเสื้อชื่อดังเกิดขึ้นมามากมาย อาทิ ไข่ –สมชาย แก้วทอง , ป๋อง-องอาจ นิรมล , เหน่ง-ปริญญา มุสิกมาส , พิจิตรา บุณยรัตพันธ์ , ธีระพันธ์ วรรณรัตน์ , ตั้ว-ดวงใจ บีส เป็นต้น ส่งผลให้วงการนางแบบมืออาชีพก็ฮิตติดชาร์จไปด้วย นางแบบในยุคนี้จึงมีความหลากหลาย มีการดึงนางแบบจากหลายวงการทั้งดาราบางคนก็กระโดดเข้ามาสู๋วงการนางแบบ ขณะเดียวกันนางแบบบนแคทวอล์กไม่น้อยที่เมื่อโด่งดังแล้วก็ถูกจับตัวไปเป็นดารา อย่าง เจี๊ยบ กาญจนาพร ปลอดภัย , เข็ม-รุจิรา ช่วยเกื้อ หรือแม้กระทั่งเวทีประกวดนางงามต่าง ๆ ก็มีโอกาสสร้างนางแบบมาประดับลวงการเช่นกัน อย่าง ลูกเกด – เมทินี กิ่งโพยม เป็นต้น เมื่อเข้าสู่ยุคฟองสบู่กำลังแตกฟอง เศรษฐกิจเฟื่องฟูคนไทยนิยมแบรนด์เนมกันมากโดยเฉพาะเสื้อผ้าที่ต้องบินไปช้อปกันถึงเมืองนอก จึงทำให้เสื้อผ้าแบรนด์ดัง ๆ มาเป็นชอปกันในเมืองไทยมากขึ้น รวมทั้งมีการเสาะหานางแบบที่จะต้องมาเดินแบบเสื้อผ้าแบรนด์ฝรั่ง จึงเป็นต้นกำเนิดของนางแบบ "ลูกครึ่ง" เพราะนอกจาหน้าตาจะสวยแล้วรูปร่างที่สูงโปร่งเพรียวงามจะได้เปรียบในการสวมเสื้อผ้าแบรนด์เนมได้สวยงาม ส่วนนางแบบสวยแต่เตี้ยก็เริ่มตกงานไปตามระเบียบ

http://www.moodam.com/ / หนังสือพิมพ์ ผู้จัดการ